บ้านห้วยตองก๊อหมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางหุบเขาของพี่น้องชาวปกาเกอะญอ มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และมีวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เช่น การทอผ้าและการตีมีด นอกจากนี้อีกสองสิ่งที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาอย่างการท่องเที่ยวและกาแฟ ก็ดูเหมือนกำลังจะไปได้ดี อาจด้วยความร่วมมือร่วมใจ หรือการมองไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกันของคนในชุมชน ทำให้บ้านห้วยตองก๊อกำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านที่เข้มแข็ง
แน่นอนว่าการจะนับก้าวที่สองและสามได้ จำเป็นต้องมีก้าวที่หนึ่งหรือจุดเริ่มต้นเพื่อเป็นการเบิกทางให้ชุมชนสามารถขับเคลื่อนไปต่อได้ เดิมทีบ้านห้วยตองก๊อมีกลุ่มที่ผลักดันในเรื่องของการท่องเที่ยวและการทอผ้าอยู่ก่อนแล้ว นำโดย พะตี่ (ทินกร เล่อกา) แต่ในเรื่องของกาแฟยังไม่มีรูปธรรมที่ชัดเจน จนกระทั่ง 2 ปีที่ผ่านมา ไอเดียของการริเริ่มทำกาแฟของบ้านห้วยตองก๊อก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันในวงสนทนาของชุมชนอีกครั้งหนึ่ง โดยคนรุ่นใหม่ พ่ะฉู่ (กิตติพันธ์ กอแก้ว)
“ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้หลังเรียนจบก็ได้กลับมาอยู่บ้านโดยอัตโนมัติ จริง ๆ เคยไปทำงานอยู่บ้างก่อนกลับมาบ้าน แต่พอผมเห็นในการทำงานบางอย่างที่ไม่ใช่เวย์ที่ถูกต้อง หรือไม่เข้ากับบริบทของชุมชนผมก็จะแย้ง แต่มันไม่ได้มี Impact ของการเปลี่ยนแปลง ผมจึงมองว่าทำไมไม่กลับมาทำกับชุมชนเอง”
จุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายนี้เอง นำมาซึ่งการเปลี่ยนมุมมองให้กับชาวบ้านและได้ผลตอบรับที่เกินคาดกลับมา พะฉู่เล่าให้เราฟังว่า ตัวเขาเองคลุกคลีกับชุมชนมานานแล้วตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ซึ่งเริ่มจากการออกบูธขายของกับชุมชน และช่วยซัพพอร์ตในงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เด็กคนหนึ่งพอจะทำได้ในตอนนั้น จึงได้เห็นงานพัฒนาต่าง ๆ ที่คนรุ่นก่อนปลุกปั้นขึ้นมา ทำให้พ่ะฉู่ได้ความรู้พร้อมกับได้ทราบถึงต้นทุนของชุมชนว่ามีอะไรบ้างที่สามารถสร้างมูลค่าได้
" ระบบต่าง ๆ ในชุมชนจึงต้องทำให้เท่าทันสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อที่จะให้ชุมชนอยู่ต่อไปให้ได้ ผมเลยเหมือนมาต่อยอดและช่วยวางแผนการทำงานให้ชุมชนมากกว่า "
“ผมว่าปัจจุบันสถานการณ์โลกเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ระบบต่าง ๆ ในชุมชนจึงต้องทำให้เท่าทันสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อที่จะให้ชุมชนอยู่ต่อไปให้ได้ ผมเลยเหมือนมาต่อยอดและช่วยวางแผนการทำงานให้ชุมชนมากกว่า ซึ่งเป็นงานที่ต้องทำร่วมกัน เพราะในรุ่นก่อน ๆ เขาริเริ่มทุกอย่างมา และเข้าใจระบบการทำงานตรงนี้ดีอยู่แล้ว ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่กลับมาเชื่อมคนในรุ่นพ่อกับเด็กเจนใหม่ ให้เข้าใจงานที่กำลังจะพยายามทำไปด้วยกัน ซึ่งถ้าคนทั้งสองเจนสามารถเชื่อมกันได้ หรือมองเห็นสิ่งที่ชุมชนมีเหมือนกันก็จะเดินไปต่อได้ไม่ยาก ตอนนี้ผมเลยพยามที่จะสร้างทีมคนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีส่วนร่วมกับสิ่งที่ชุมชนกำลังทำอยู่ เพื่อทำให้เขาเห็นว่าสิ่งที่มีอยู่ตรงนี้มันสามารถสร้างมูลค่าได้”
แนวคิดที่การทำให้ทั้งสองวัยเชื่อมโยงกัน ถือเป็นอีกหนึ่งทางออกของการค่อย ๆ แก้ปัญหาของชุมชนที่เด็กรุ่นใหม่ทยอยออกไปทำงานข้างนอก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของหมู่บ้านห่างไกลที่เมื่อผู้ปกครองส่งไปเรียนแล้ว หลังจากเรียนจบก็จะหางานทำในเมือง นอกจากนี้ยังเป็นการผลักดันสิ่งที่มีอยู่ในชุมชนให้สามารถสร้างมูลค่าในตัวได้อีกด้วย รวมถึงเปลี่ยนมุมมองในเรื่องของกาแฟให้กับชุมชนไปโดยปริยาย
“เราต้องทำความเข้าใจกับคนรุ่นใหม่ว่าการทำงานในชุมชนอาจจะยังไม่มีค่าตอบแทน จำเป็นต้องมีผลิตภัณฑ์ออกมา เพื่อให้ได้ผลตอบแทนและมีกำไรที่สามารถนำกลับมาพัฒนาตัวชุมชนได้ ดังนั้นนอกจากการท่องเที่ยวและผ้าที่มีอยู่ในชุมชน อีกสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับชาวบ้านมาตลอดอย่างกาแฟ แต่ไม่ได้รับความสนใจ เลยเป็นอีกหนึ่ง Product ที่จะสามารถสร้างมูลค่าได้ เพราะผมคิดว่าถ้าวันหนึ่งตัวชุมชนไม่ได้ยึดการทำไร่หมุนเวียนแล้ว การทำกาแฟจะส่งต่อให้กับเจนต่อไปได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถอยู่คู่กับชุมชนและป่าได้ในระยะยาว”
" เราพยายามหาคาแรคเตอร์ของกาแฟว่ามันควรจะออกมาเป็นแบบไหน โดยส่งไปให้เพื่อนที่เป็นโรงคั่วช่วยหา Test Note ที่เป็นเอกลักษณ์ของกาแฟบ้านห้วยตองก๊อ "
ก่อนที่จะหันมาสนใจกาแฟอย่างจริงจัง พ่ะฉู่เคยรับบทเป็นคนขายกาแฟในลักษณะซื้อมาขายไป โดยการซื้อเมล็ดกาแฟคั่วและนำมาขายอีกต่อหนึ่ง ทำให้เจอปัญหาของรสชาติที่ไม่สม่ำเสมอจึงกลายเป็น Passion ของการอยากกลับมาทำกาแฟที่บ้าน
“กลับมาทำกาแฟกับพะตี่จนถึงวันนี้ได้ประมาณ 2 ปีแล้ว เราพยายามหาคาแรคเตอร์ของกาแฟว่ามันควรจะออกมาเป็นแบบไหน โดยส่งไปให้เพื่อนที่เป็นโรงคั่วช่วยหา Test Note ที่เป็นเอกลักษณ์ของกาแฟบ้านห้วยตองก๊อ ปีที่ผ่านมาเราเลยชวนตัวชุมชนให้เริ่มปลูกกาแฟกัน โดยให้ปลูกสวนใครสวนมันก่อน เนื่องจากเขาสามารถเข้าไปจัดการดูแลสวนของตัวเองได้ง่าย จากนั้นเราก็จะเข้าไปดูว่าสวนเขาเป็นอย่างไร ควรต้องปรับหรือเพิ่มเติมส่วนไหน เราอยากให้เขามีมาตรฐานในสวนของเขาเอง มันก็ต้องเริ่มตั้งแต่การดูแลจัดการสวน เพราะเราอยากให้เขามี Know-how ตรงนี้ก่อน เพื่อให้เกิดการจัดการที่ดีตั้งแต่ต้นทางและเวลาใครเข้ามาเขาก็จะสามารถอธิบายออกไปได้อย่างฉะฉานเหมือนเวลาที่พูดถึงเรื่องทำไร่หรือปลูกข้าว และเราก็ทำให้เห็นว่ากาแฟที่เขาปลูก เมื่อนำมาแปรรูปมันสามารถสร้างมูลค่าได้ เช่น ถ้าเทียบกาแฟเชอร์รีกับกาแฟสารในปริมาณ 10 กิโลกรัมจะเห็นว่าราคามันต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีกอย่างในปัจจุบันตลาดกาแฟก็ค่อนข้างที่จะกว้างมากแล้ว”
" รวมถึงการออกไปเรียนรู้กับคนข้างนอกที่เก่งกาแฟจริง ๆ เป็นการเติมไฟในการทำกาแฟ ผมเลยพยายามจะออกไปหาความรู้ใหม่ ๆ เพื่อที่จะนำมาสอนคนที่บ้าน และเรียนรู้วิธีที่จะทำให้กาแฟออกมาดีมีคุณภาพ จริง ๆ เราอยากทำกาแฟทั้งห้วยปูลิงให้มีคุณภาพให้ได้ "
จากวันนั้นจนถึงวันที่ได้นั่งคุยกัน พ่ะฉู่เล่าให้ฟังว่าชาวบ้านเริ่มจะขยายสวนกาแฟและปลูกกาแฟเพิ่มขึ้นแล้วเกือบจะทั้งหมู่บ้าน และคนรุ่นใหม่บางคนก็หันมาสนใจกาแฟเพิ่มขึ้น เช่น บางคนอยากศึกษาลงลึกไปในเรื่องการคั่ว หรือบางคนอยากเป็นบาริสต้าเลยก็มี อาจด้วยตัวอย่างของการลงมือทำและวิถีชีวิตของพี่น้องปกาเกอะญอที่อยู่คู่กับป่ามาโดยตลอด จึงยอมให้กาแฟเข้ามามีบทบาทในการเป็นอีกหนึ่งอาชีพและเครื่องมือช่วยบำรุงรักษาป่ารอบ ๆ หมู่บ้าน ซึ่งนอกจากการปลูกแล้ว ในเรื่องของการโพรเซสกาแฟทั้ง Washed, Dry, Honey Process พ่ะฉู่ก็ได้ออกไปหาผู้ช่ำชองข้างนอก เพื่อนำมาถ่ายทอดให้กับชุมชนได้นำไปปรับใช้กับตัวเองอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไฟแรงไม่มีตกเลยทีเดียว
“เราอยากสร้างความเป็นมาตรฐานให้กับกาแฟบ้านห้วยตองก๊อ ถ้าคนในชุมชนจะทำกาแฟออกมาให้ดี การโพรเซสขั้นพื้นฐานทั้ง 3 ตัวเป็นสิ่งที่พวกเขาจะต้องรู้และเป็นองค์ความรู้ที่ต้องมีสำหรับเพิ่มมูลค่ากาแฟ ถึงแม้จะยังทำไม่ได้ แต่ก็สามารถไปลองผิดลองถูกเพื่อหาวิธีที่ถนัดกับตัวเองได้ รวมถึงการออกไปเรียนรู้กับคนข้างนอกที่เก่งกาแฟจริง ๆ เป็นการเติมไฟในการทำกาแฟ ผมเลยพยายามจะออกไปหาความรู้ใหม่ ๆ เพื่อที่จะนำมาสอนคนที่บ้าน และเรียนรู้วิธีที่จะทำให้กาแฟออกมาดีมีคุณภาพ จริง ๆ เราอยากทำกาแฟทั้งห้วยปูลิงให้มีคุณภาพให้ได้ ไม่ใช่แค่บ้านห้วยตองก๊อ แต่เราเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ที่นี่ก่อน เพราะจัดการง่าย และสามารถคุยแลกเปลี่ยนกันในชุมชนได้ทุกวัน ซึ่งการจะพัฒนากาแฟเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำคนเดียวได้ เรามองว่าทุกคนควรช่วยกันพัฒนา ถ้าอยากยกระดับกาแฟในชุมชน”
การนั่งคุยกันแค่ครึ่งชั่วโมง แต่กลับทำให้มองเห็นภาพรวมของการทำงานในระดับชุมชนได้อย่างชัดเจน ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องเป็นวัตถุประสงค์ของคนในชุมชน ไม่ใช่เพียงแค่ของคนใดคนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้การที่เริ่มนับหนึ่งมานานพอสมควรจนมีระบบการจัดการชุมชนที่ดีนั้น ส่งผลให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้ามาช่วยต่อยอดจากของเดิม เพื่อให้มีแผนการทำงานที่ชัดเจนและสามารถดำเนินต่อไปได้ง่ายขึ้น ซึ่งทำให้เห็นว่าพลังของทั้งสองเจนสามารถสร้างความเข้าใจและร่วมมือในการทำประโยชน์ต่อส่วนรวมไปด้วยกันได้ หากทุกคนในชุมชนมีเป้าหมายเดียวกัน ดังนั้นหากคนรุ่นเก่าและใหม่ยังคงมีไฟเหมือนกับพ่ะฉู่ ภายในปีนี้ หรืออีก 2 - 3 ปีข้างหน้า “กาแฟบ้านห้วยตองก๊อ” หรือ “กาแฟห้วยปูลิง” คงมีออกมาให้ได้จับจองรอชิมรสชาติอย่างไม่ต้องสงสัย
" การจะพัฒนากาแฟเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำคนเดียวได้ เรามองว่าทุกคนควรช่วยกันพัฒนา ถ้าอยากยกระดับกาแฟในชุมชน "
Coffee Traveler
เป็นนิตยสารรายสองเดือน ที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นการส่งผ่านความรู้ทางด้านกาแฟ
และเสริมมุมความคิดในด้านธุรกิจกาแฟ
- - -
สมัครสมาชิกนิตยสารได้ที่ : IN BOX Facebook Coffee Traveler
Instagram : coffeetraveler_magazine
Youtube : Coffee Traveler
Blockdit : I am Coffee Traveler / coffeetravelermag
Comments